ระบบเครือข่ายแบบ
WAN
หรือระบบเครือข่ายบริเวณกว้าง
จะเป็นระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงเครือข่ายแบบท้องถิ่นตั้งแต่ 2
เครือข่ายขึ้นไปเข้าด้วยกันผ่านระยะทางที่ไกลมาก โดยการเชื่อมโยงจะผ่านช่องทางการสื่อสารข้อมูลสาธารณะของบริษัทโทรศัพท์หรือองค์การโทรศัพท์ของประเทศต่างๆ
เช่น สายโทรศัพท์แบบอนาลอก สายแบบดิจิทัล ดาวเทียม ไมโครเวฟ เป็นต้น
เครือข่าย WAN สามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ คือ
1. เครือข่ายส่วนตัว (private
network) เป็นการจัดตั้งระบบเครือข่ายซึ่งมีการใช้งานเฉพาะองค์กร
เช่น องค์กรที่มีสาขาอาจทำการสร้างระบบเครือข่าย
เพื่อเชื่อมต่อระหว่างสำนักงานใหญ่กับสาขาที่มีอยู่ เป็นต้น
การจัดตั้งระบบเครือข่ายส่วนตัวมีจุดเด่นในเรื่องของการรักษาความลับของข้อมูล
สามารถควบคุมดูแลเครือข่ายและขยายเครือข่ายไปยังจุดที่ต้องการ
ส่วนข้อเสียคือในกรณีที่ไม่ได้มีการส่งข้อมูลต่อเนื่องตลอดเวลา
จะเสียค่าใช้จ่ายสูงมากเมื่อเทียบกับการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายสาธารณะ
และหากมีการส่งข้อมูลระหว่างสาขาต่างๆ
จะต้องมีการจัดหาช่องทางสื่อสารเชื่อมโยงระหว่างแต่ละสาขาด้วย
ซึ่งอาจจะไม่สามารถจัดช่องทางการสื่อสารไปยังพื้นที่ที่ต้องการได้
2. เครือข่ายสาธารณะ (PDN: public
data network) หรือบางครั้งเรียกว่าเครือข่ายมูลค่าเพิ่ม (VAN:
Value Added Network) เป็นเครือข่าย WAN ที่จะมีองค์กรหนึ่ง
(third party) เป็นผู้ทำหน้าที่ในการเดินระบบเครือข่าย
และให้เช่าช่องทางการสื่อสารให้กับ บริษัทต่างๆ ที่ต้องการสร้างระบบเครือข่าย
ซึ่งบริษัทจะลดค่าใช้จ่ายของตนลงได้
เนื่องจากมีบุคคลอื่นมาช่วยแบ่งปันค่าใช้จ่ายไป ซึ่งจะนิยมใช้กันมาก
เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการจัดตั้งเครือข่ายส่วนตัว
สามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาในการจัดตั้งเครือข่ายใหม่
รวมทั้งมีบริการให้เลือกอย่าง หลากหลาย ซึ่งแตกต่างกันไปทั้งในส่วนของราคา
ความเร็ว ขอบเขตพื้นที่บริการ และความเหมาะสมกับงานแบบต่าง ๆ
ในสหรัฐอเมริกามีการใช้ระบบในรูปแบบนี้ภายใต้การบริการของ
GE
(General Electric) ตั้งระบบชื่อ GEIS (GE Information
Services Company) สำหรับประเทศไทย
เริ่มมีแนวความคิดในการใช้ระบบนี้ในเครือข่าย GINET (Government
Information Network) โดยทางเนคเทคจะตั้งเครือข่ายเพื่อการบริการ
และให้หน่วยงานต่าง ๆ มาเชื่อมสัญญาณเข้าที่ระบบนี้
ในการต่อระบบเครือข่ายนั้น
เราไม่ได้จำกัดอยู่แค่วง LAN
ของเรา แต่อาจมีการต่อระหว่าง LAN หลาย ๆ วง
ของแต่ละหน่วยงานในองค์กรเดียวกัน และเชื่อมต่อกับ WAN และอินเทอร์เน็ตที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนขึ้นไปอีก
ซึ่งในการเชื่อมต่อนี้จะต้องอาศัยอุปกรณ์ประเภทอื่น ๆ นอกเหนือจากการ์ด LAN
และฮับ ดังนี้
โมเด็ม (MODEM)
เมื่อเราต้องการเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตที่บ้าน
บางครั้งเราจำเป็นจะต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยผ่านทางโมเด็ม ( MODEM) คำว่า MODEM ย่อมาจาก คำว่า Modulator-DEModulator ซึ่งปกติแล้วจะใช้ส่งข้อมูลในรูปดิจิทัลผ่านทางสายโทรศัพท์
โดยโมเด็มจะแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปสัญญาณที่เข้ากับสายโทรศัพท์
และแปลงจากสัญญาณนั้นกลับให้มาอยู่ในรูปของข้อมูล ส่วนโมเด็มสำหรับเครือข่ายแบบไร้สายจะแปลงกลับไปมาระหว่างข้อมูลในรูปดิจิทัลกับสัญญาณวิทยุ โมเด็มกำเนิดขึ้นในช่วงปี
ค.ศ.1960
โดยในระยะแรกจะใช้เชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายกับเครื่องลูกข่าย
ดังภาพ ในขณะนั้นโมเด็มจะมีอัตราเร็วในการส่งข้อมูลเพียง 300 บิตต่อวินาที (bps)
No comments:
Post a Comment